Ads Top

iPhone 11 มี 3 รุ่น เลือกรุ่นไหนดี?


Advertising
หลังจากเปิดตัว iPhone 11 ทั้ง 3 รุ่นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีคนสนใจเป็นจำนวนมาก ซึ่ง iPhone รุ่นใหม่ก็มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายๆอย่าง โดยแต่ละรุ่นก็แตกต่างกันออกไป วันนี้จึงอยากให้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ รุ่นนี้ ซื้อดีมั้ย? หรือว่าจะเลือกเป็นรุ่นไหนดี?  กว่ากัน

สิ่งที่ควาดไม่ถึงตอนเปิดตัวก็คือ Apple จะลดราคาลงกว่าปีที่ผ่านๆมา ลองย้อนกลับไปดูปีที่แล้ว iPhone Xs Max  ทำราคาทะลุ 5 หมื่นบาท ซึ่งถือว่าแพงเกินไป แต่หลังจากที่ประกาศ iPhone 11 มา ปรากฎว่าราคาถูกลงกว่าเดิม



สรุปราคาโดยประมาณการณ์ดังนี้

  • iPhone 11 (64GB) ราคา 24,900 บาท
  • iPhone 11 (128GB) ราคา 26,900 บาท
  • iPhone 11 (256GB) ราคา 30,900 บาท
  • iPhone 11 Pro (64GB) ราคา 35,900 บาท
  • iPhone 11 Pro (256GB) ราคา 41,900 บาท
  • iPhone 11 Pro (512GB) ราคา 48,900 บาท
  • iPhone 11 Pro Max (64GB) ราคา 39,900 บาท
  • iPhone 11 Pro Max (256GB) ราคา 45,900 บาท
  • iPhone 11 Pro Max (512GB) ราคา 52,900 บาท


หากเห็นราคาแล้ว หากคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณหรือเงินในกระเป๋าก็ได้ง่ายโดยไม่ลังเล แต่สำหรับคนที่ตั้งใจที่จะซื้อก็ต้องดูกว่ามันคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือเปล่า แล้วแบบนี้จะเลือกซื้อรุ่นไหนดี?

อันดับแรกเทียบสเปคของทั้ง 3 รุ่นกันก่อน



 iPhone 11

  • ขนาด 150.9 x 75.7 x 8.3 มิลลิเมตร
  • หนัก 194 กรัม
  • หน้าจอ Liquid Retina HD แสดงผลแบบ True Tone ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792 x 828 พิกเซลที่ 326 ppi
  • ตัวเครื่องกันน้ำกันฝุ่น IP68 (ความลึกไม่เกิน 2 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
  • ชิพ A13 Bionic พร้อม Neural Engine รุ่นที่ 3
  • กล้องหลังคู่ (Wide + Ultra Wide)
  • กล้อง Wide 12 ล้านพิกเซล f/1.8
  • กล้อง Ultra Wide f/2.4 มุมกว้าง 120 องศา
  • ซูม Optical 2 เท่า ซูมดิจิตอลสูงสุด 5 เท่า
  • ระบบกันสั่น OIS
  • ถ่ายวิดีโอ 4K 60FPS มีระบบซูมเสียง
  • กล้อง TrueDepth (กล้องหน้า) 12 ล้านพิกเซล f/2.2
  • ถ่ายวิดีโอ 4K 60FPS
  • ถ่ายวิดีโอสโลโมชั่น 1080p 120fps
  • ปลดล็อคเครื่องด้วยระบบ Face ID
  • ซิมคู่ (Nano-SIM และ eSIM)
  • ระบบเครือข่าย LTE Gigabit MIMO 2×2 LAA
  • ระบบไร้สาย Wi-Fi 6, Bluetooth 5.0, NFC (โหมดตัวอ่าน)
  • แบตเตอรี่ ใช้ได้นานกว่า iPhone Xr สูงสุด 1 ชั่วโมง
  • ชาร์จเร็ว ด้วยอะแดปเตอร์ 18W ชาร์จได้ 50% ใน 30 นาที (อะแดปเตอร์จำหน่ายแยกต่างหาก)
  • การเล่นวิดีโอ: สูงสุด 17 ชั่วโมง
  • การเล่นวิดีโอ (ผ่านการสตรีม): สูงสุด 10 ชั่วโมง
  • การเล่นเสียง: สูงสุด 65 ชั่วโมง
  • ชาร์จแบบไร้สาย
  • ระบบปฏิบัติการ iOS 13
  • มีความจุให้เลือก 64GB, 128GB, 256GB
  • มีให้เลือก 6 สี (ดำ, เขียว, เหลือง, ม่วง, Product Red, ขาว)

iPhone 11 Pro


  • ขนาด 144.0 x 71.4 x 8.1 มิลลิเมตร
  • หนัก 188 กรัม
  • หน้าจอ Super Retina XDR แสดงผลแบบ OLED ขนาด 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซลที่ 458 ppi
  • ตัวเครื่องกันน้ำกันฝุ่น IP68 (ความลึกไม่เกิน 4 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
  • ชิพ A13 Bionic พร้อม Neural Engine รุ่นที่ 3
  • กล้องหลัง 3 กล้อง (Wide + Ultra Wide + Tele Photo)
  • กล้อง Wide 12 ล้านพิกเซล f/1.8
  • กล้อง Ultra Wide f/2.4 มุมกว้าง 120 องศา
  • กล้อง Tele Photo f/2.0
  • ซูมเข้าแบบ Optical 2 เท่า ซูมออกแบบ Optical 2 เท่า ซูมดิจิตอลสูงสุด 10 เท่า
  • ระบบกันสั่น OIS
  • ถ่ายวิดีโอ 4K 60FPS มีระบบซูมเสียง
  • กล้อง TrueDepth (กล้องหน้า) 12 ล้านพิกเซล f/2.2
  • ถ่ายวิดีโอ 4K 60FPS
  • ถ่ายวิดีโอสโลโมชั่น 1080p 120fps
  • ปลดล็อคเครื่องด้วยระบบ Face ID
  • ซิมคู่ (Nano-SIM และ eSIM)
  • ระบบเครือข่าย LTE Gigabit MIMO 2×2 LAA
  • ระบบไร้สาย Wi-Fi 6, Bluetooth 5.0, NFC (โหมดตัวอ่าน)
  • แบตเตอรี่ ใช้ได้นานกว่า iPhone Xs สูงสุด 4 ชั่วโมง
  • ชาร์จเร็ว ด้วยอะแดปเตอร์ 18W ชาร์จได้ 50% ใน 30 นาที
  • การเล่นวิดีโอ: สูงสุด 18 ชั่วโมง
  • การเล่นวิดีโอ (ผ่านการสตรีม): สูงสุด 11 ชั่วโมง
  • การเล่นเสียง: สูงสุด 65 ชั่วโมง
  • ชาร์จแบบไร้สาย
  • ระบบปฏิบัติการ iOS 13
  • มีความจุให้เลือก 64GB, 256GB, 256GB
  • มีให้เลือก 4 สี (ทอง, เทาสเปซเกรย์, เงิน, เขียวมิดไนท์กรีน)

iPhone 11 Pro Max

  • ขนาด 158.0 x 77.8 x 8.1 มิลลิเมตร
  • หนัก 226 กรัม
  • หน้าจอ Super Retina XDR แสดงผลแบบ OLED ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2688 x 1242 พิกเซลที่ 458 ppi
  • ตัวเครื่องกันน้ำกันฝุ่น IP68 (ความลึกไม่เกิน 4 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
  • ชิพ A13 Bionic พร้อม Neural Engine รุ่นที่ 3
  • กล้องหลัง 3 กล้อง (Wide + Ultra Wide + Tele Photo)
  • กล้อง Wide 12 ล้านพิกเซล f/1.8
  • กล้อง Ultra Wide f/2.4 มุมกว้าง 120 องศา
  • กล้อง Tele Photo f/2.0
  • ซูมเข้าแบบ Optical 2 เท่า ซูมออกแบบ Optical 2 เท่า ซูมดิจิตอลสูงสุด 10 เท่า
  • ระบบกันสั่น OIS
  • ถ่ายวิดีโอ 4K 60FPS มีระบบซูมเสียง
  • กล้อง TrueDepth (กล้องหน้า) 12 ล้านพิกเซล f/2.2
  • ถ่ายวิดีโอ 4K 60FPS
  • ถ่ายวิดีโอสโลโมชั่น 1080p 120fps
  • ปลดล็อคเครื่องด้วยระบบ Face ID
  • ซิมคู่ (Nano-SIM และ eSIM)
  • ระบบเครือข่าย LTE Gigabit MIMO 2×2 LAA
  • ระบบไร้สาย Wi-Fi 6, Bluetooth 5.0, NFC (โหมดตัวอ่าน)
  • แบตเตอรี่ ใช้ได้นานกว่า iPhone Xs Max สูงสุด 5 ชั่วโมง
  • การเล่นวิดีโอ: สูงสุด 20 ชั่วโมง
  • การเล่นวิดีโอ (ผ่านการสตรีม): สูงสุด 12 ชั่วโมง
  • การเล่นเสียง: สูงสุด 80 ชั่วโมง
  • ชาร์จแบบไร้สาย
  • ระบบปฏิบัติการ iOS 13
  • มีความจุให้เลือก 64GB, 256GB, 256GB
  • มีให้เลือก 4 สี (ทอง, เทาสเปซเกรย์, เงิน, เขียวมิดไนท์กรีน)

รายละเอียดที่ควรรู้ก่อนซื้อ 

  • ทั้ง 3 รุ่น รองรับระบบชาร์จไว 18w แต่ว่าจะมีแถมมาให้ในกล่องเฉพาะ iPhone 11 Pro และ 11 Pro Max เท่านั้น สำหรับ iPhone 11 หากต้องการใช้ต้องซื้อแยก ซึ่งราคารวมสายก็เกือบๆ 2,000 บาท
  • กล้องหน้าทั้ง 3 รุ่นเป็นตัวเดียวกัน ฟีเจอร์เท่ากัน
  • ทั้ง 3 รุ่น กันน้ำกันฝุ่น IP68 
  • ลำโพงทั้ง 3 รุ่นเป็นสเตอริโอ และมีระบบเสียง Doby Atmos
  • iPhone 11 ไม่มีรุ่น 512GB ส่วน 11 Pro และ 11 Pro Max ไม่มีรุ่น 128GB
  • ถ่ายวิดีโอ มีระบบ Audio Zoom ที่สามารถซูมเสียงได้
  • กล้องมี Night Mode  ถ่ายภาพกลางคืนให้สว่างได้

Sponsored Links

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.