Ads Top

Apple ประกาศเปิดตัว iPhone 11 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ชูจุดเด่นกล้องหลัง Ultra-Wide


Advertising
เมื่อคืนที่ผ่านมา Apple ได้จัดงานแถลงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ “สตีฟ จ๊อป เธียเตอร์” ในเมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย  โดยเป็นการเปิดตัว iPhone 11 รุ่นใหม่ มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ๆ รวมทั้งกล้องหลังที่เพิ่มเข้ามาอีก 1 ตัว ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่งเปิดตัว ได้แก่ iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max  เรามาติดตามสรุปว่ามีอะไรน่าสนใจบ้างกันเลยดีกว่า


มาเริ่มกันที่รุ่นเล็ก  iPhone 11  ตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียมที่ผ่านกระบวนการอโนไดซ์ (anodized aluminum) หรือการชุบผิวเพื่อเพิ่มความทนทาน ก่อนปูด้วยกระจกโดยอ้างว่า แข็งที่สุดเท่าที่มีในสมาร์ทโฟน สามารถกันน้ำได้ที่ความลึก 2 เมตร นาน 30 นาที มี 6 สีให้เลือกได้แก่ ม่วง, ขาว, เหลือง, เขียว, ดำ และ แดง พร้อมดีไซน์มีรอยบากด้านบนของหน้าจอเหมือนเดิม หน้าจอมีขนาดความกว้าง 6.1 นิ้วเป็น Liquid Retina display ซึ่งเป็น LCD ที่มีประสิทธิภาพสูง  แสดงผลสีแบบ True Tone ใช้ชิปประมวลผล A13 Bionic ที่พวกเขาอ้างว่าสามารถประมวลผลกราฟิกเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนที่มีในตลาด ขณะที่แบตเตอรี่จะใช้งานได้นานกว่า iPhone XR อีก 1 ชั่วโมง

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ความสามารถของกล้อง เป็นระบบกล้องคู่ด้านหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล  รองรับ Dynamic Range รวมถึงการสร้าง Slow Motion ด้วยกล้องหน้าได้ จะมีทั้งกล้องปกติ (Wide) รูรับแสง F1.8 และกล้องมุมกว้างพิเศษ (Ultra-Wide) มองกว้าง 120 องศา ที่มีเซนเซอร์ใหม่ โฟกัสในที่แสงน้อยเร็วขึ้น 3 เท่า แฟลชสว่างขึ้น 36%, ระบบ Night Mode  พร้อมระบบกันสั่นที่ดีขึ้นกว่าเดิม มี Quick Take ถ่ายภาพและวิดีโอได้ด้วยความเร็วสูง Video รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 60 FPS

ราคาเริ่มต้น 699 ดอลล่าร์สหรัฐ (ประมาณ 21,xxx บาท)



ต่อมาเป็นรุ่ใหญ 2 รุ่นคือ iPhone 11 Pro กับ iPhone 11 Pro Max  ผลิตจากสแตนเลสสตีล เกรดเดียวกับเครื่องมือแพทย์ ปูด้วยกระจกที่ต้องบอกว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน และสีใหม่คือ Midnight Green, และมาพร้อมกับสีเทา, สีเงิน และ สีทองใหม่ ด้านหลังวัสดุแกร่งกว่าเดิม

หน้าจอแสดงผลแบบ Super Retina XDRใช้เป็นจอ OLED รุ่นใหม่   โดยรุ่น iPhone 11 Pro จอกว้าง 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2436x1125 พิกเซล, 458 ppi ส่วนรุ่น iPhone 11 Pro Max จอกว้าง 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2688x1242 พิกเซล, 458 ppi ใช้ระบบสัมผัสแบบ haptic touch ทั้งคู่ ระบบเสียง รองรับ HDR 10, Dolby Vision และ Dolby Atmos โดยใช้ชิป A13 Bionic และ Neural Engine รุ่นที่ 3  เพิ่มตัวเร่ง Machine Learning ที่เรียนรู้และปรับการทำงานเร็วขึ้นกว่าเดิม 6 เท่า และมีระบบควบคุมทำให้การทำงานเหมาะสมกับการทำงานทั้ง GPU และ CPU และยังเคลมว่าดีที่สุด อีกส่วนคือ Low Power Design มีการปรับปรุงเรื่องการใช้พลังงาน ทำให้แบตเตอรี่ของรุ่น iPhone 11 Pro อยู่ได้นานกว่า iPhone XS 4 ชั่วโมง ขณะที่แบตฯ ของ iPhone 11 Pro Max อยู่ได้นานกว่า iPhone XS Max 5 ชั่วโมง และรองรับ Wi‑Fi 6 (802.11ax)

ส่วนกล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัว ได้แก่ เลนส์ปกติ (Wide) ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.8, กล้องเลนส์ Ultra Wide Angle มุมกว้าง 120 องศา ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และกล้องเลนส์ซูม Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มีฟีเจอร์ Deep Fusion ให้ Machine Learning เรียนรู้รายละเอียดของภาพ การถ่ายวิดีโอ รองรับ 4K 60 FPS, Dynamic Range และยังสามารถแก้ไขวิดีโอได้ง่าย และกล้องทั้ง 3 สามารถปรับความสว่างของภาพได้อัตโนมัติและยังทำให้การซูมภาพได้ Smooth

นอกจากนี้ ยังเปิดตัว Flimic Pro โปรแกรมถ่ายวิดีโอระดับโปร ทำให้คุณเลือกมุมมองการถ่ายวิดีโอได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ หรือจะถ่ายตัวเราก็ได้เช่นเดียวกัน

ราคาของ iPhone 11 Pro เริ่มต้น 999 ดอลล่าร์สหรัฐ (ประมาณ 30,xxx บาท) และ 1,099 ดอลล่าร์สหรัฐ (33,xxx บาท)

Sponsored Links

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.